乌龟 wugui เต๋า
兔子 tuzi กระต่าย
竞 jing แข่ง
慢 man ช้า
爬 pa กลัว
วันพุธที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2553
วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553
เทศกาลสำคัญอันดับที่แปด
เทศกาลสำคัญอันดับทีแปด และเป็นอันดับสุดท้ายคือ ตงจื้อ 冬至 แต่คนแต้จิ๋วนิยมเรียกว่า ตังโจ๋ย 冬节
วันตังโจ๋ยมีส่วนคล้ายวันเซ็งเม้งในส่วนที่เป็นช่วงแบ่งฤดูกาลที่เรียกว่า โจ๊ยขี่ 节气 ตงหรือตัง 冬หมายถึงฤดูหนาวหรือเรียกให้ไพเราะ เหมันฤดู โดยจีนถือวันแรกของช่วง ลี่ตง หรือ หลิบตัง 立冬เป็นวันเริ่มต้นฤดูหนาวซึ่งอยู่ในราววันที่ 7หรือ8
เดือนพฤษจิกายน ตามปฎิทินสากล(ตามสุริยคติ) ถัดจาก ลี่ตง ก็จะเป็นช่วงเสียวเสวี่ย 小雪เริ่มวันที่ 22 หรือ 23 เดือน
พฤษจิกายน ตามด้วย ต้า เสวี่ย 大雪 เริ่มวันที่ 7หรือ 8เดือน ธันวาคมจากนั้นก็จะเข้าสู่ ตงจื้อ 冬至 เริ่มวันที่ 21 หรือ22
เดือน ธันวาคม ซึ่งวันแรก ตงจื้อก็จะเป็นวัน ตังโจ๋ย 冬节 คนแต้จิ๊วสมัยก่อน มักถือปฎิทินทางจันทรติมีคำพูด
ตังโจ๊ยมักถือพูดว่า ต้งโจ๋ยบ่อเตี่ยยิก 冬节无定日 แปลว่าวันตังโจ๋ยไม่มีวันแน่นอน แต้ถ้าเทียบปฏิทินสากล คือวันทางจันทรคติไม่แน่นอน ที่เข้าใจไม่แน่นอน คิอวันทางจันทรคติไม่แน่นอน แต้ถ้าเทียบปฎิทินสากล ซึ่งเป็นแบบสุริยคติ จะค่อนข้งแน่นอน คือหากไม่ใช่วันที่ 21ก็เป็นวันที่ 22 เดือน ธันวาคม
สาระสำคัญของวัน ตังโจ๋ยคือ การไหว้ขนมบัวลอยหรือขนม อี้ คนแต้จิ๋วเรียกว่า อี้ อาจเขียน 圆 หรือ 丸 ก็ได้เพราะเสียงคำว่าอี้ หมายถึง กลมเกลียว หรืออยุ่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกด้วย คนจีนโดยทั่วไปถือว่าเมื่อทาน อี้ ในวันนี้แล้ว ก็เท่ากับว่าอายุมากขึ้นอีกหนึ่งขวบจึงอาจเป็นจุดอ่อนเพราะสาวสมัยใหม่อาจไม่นิยมทานอี้
วันตังโจ๋ยมีส่วนคล้ายวันเซ็งเม้งในส่วนที่เป็นช่วงแบ่งฤดูกาลที่เรียกว่า โจ๊ยขี่ 节气 ตงหรือตัง 冬หมายถึงฤดูหนาวหรือเรียกให้ไพเราะ เหมันฤดู โดยจีนถือวันแรกของช่วง ลี่ตง หรือ หลิบตัง 立冬เป็นวันเริ่มต้นฤดูหนาวซึ่งอยู่ในราววันที่ 7หรือ8
เดือนพฤษจิกายน ตามปฎิทินสากล(ตามสุริยคติ) ถัดจาก ลี่ตง ก็จะเป็นช่วงเสียวเสวี่ย 小雪เริ่มวันที่ 22 หรือ 23 เดือน
พฤษจิกายน ตามด้วย ต้า เสวี่ย 大雪 เริ่มวันที่ 7หรือ 8เดือน ธันวาคมจากนั้นก็จะเข้าสู่ ตงจื้อ 冬至 เริ่มวันที่ 21 หรือ22
เดือน ธันวาคม ซึ่งวันแรก ตงจื้อก็จะเป็นวัน ตังโจ๋ย 冬节 คนแต้จิ๊วสมัยก่อน มักถือปฎิทินทางจันทรติมีคำพูด
ตังโจ๊ยมักถือพูดว่า ต้งโจ๋ยบ่อเตี่ยยิก 冬节无定日 แปลว่าวันตังโจ๋ยไม่มีวันแน่นอน แต้ถ้าเทียบปฏิทินสากล คือวันทางจันทรคติไม่แน่นอน ที่เข้าใจไม่แน่นอน คิอวันทางจันทรคติไม่แน่นอน แต้ถ้าเทียบปฎิทินสากล ซึ่งเป็นแบบสุริยคติ จะค่อนข้งแน่นอน คือหากไม่ใช่วันที่ 21ก็เป็นวันที่ 22 เดือน ธันวาคม
สาระสำคัญของวัน ตังโจ๋ยคือ การไหว้ขนมบัวลอยหรือขนม อี้ คนแต้จิ๋วเรียกว่า อี้ อาจเขียน 圆 หรือ 丸 ก็ได้เพราะเสียงคำว่าอี้ หมายถึง กลมเกลียว หรืออยุ่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกด้วย คนจีนโดยทั่วไปถือว่าเมื่อทาน อี้ ในวันนี้แล้ว ก็เท่ากับว่าอายุมากขึ้นอีกหนึ่งขวบจึงอาจเป็นจุดอ่อนเพราะสาวสมัยใหม่อาจไม่นิยมทานอี้
เทศกาล
ชาวแต้จิ๋วเรียกว่า ตงซิว 中秋
การบวงสรวงสิ่งธรรมชาติ เช่น ภูเขา แม่น้ำ ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เป็นสิ่งที่ชาวจีนถือปฎิบัติกันมาเก่าแก่การไหว้พระจันทร์มีบันทึกย้อนหลังไปถึงราชวงศ์โจว 周 โดยมีตำนานของแม่น้ำนางฉางเอ๋อ 嫦娥 แพร่หลายที่สุด ในสมัยราชวงศ์ ฮั่น 汉 มีบันทึกเกี่ยวกับขนมเปี๊ย 饼 ชนิดต่างๆครั้นมาถึงราชวงศ์ซ่ง 宋จึงมีบันทีกเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับขนมเปี๊ยะไหว้พระจันทร์ 月饼 แต่ขนมไหว้พระจันทร์เริ่มกลายเป็นสาระสำคัญของเทศกาล ในสมัยต้นราชวงศ์หมิง 明 เนื่องจากปลายราชวงศ์หยวน 元 ซึ่งชาวจีนถือว่าเป็นชาวต่างชาติ (ชาวมองโกล) ได้กดขี่ชาวจีนฮั่นจนสุดทน จึงได้เขียนสารใส่ริ้วกระดาษ
สอดไว้ในขนมเปี๊ยะไหว้พระจันทร์เพื่อนัดแนะกันลุกฮือขึ้นต่อต้านพวกมองโกล
บางคนมองว่า ประเพณีการไหว้พระจันทร์เสื่อมคลายเพราะอเมริกาสามารถส่งคนไปลงดวงจันทร์ แต่ในความเป็นจริงยุคสมัย
เปลี่ยนไป ตำนานเรื่องแม่นางฉางเอ๋อ 嫦娥 ก็ต้องคลายความขลังลงอยู่ดี ไม่ได้ขึ้นกับการไปลงดวงจันทร์ของมนุษย์อวกาศ
เพียงอย่างเดียว หากแต่การรักษาประเพณีงดงามเอาไว้ หรือการส่งขนมไว้พระจันทร์ให้กันและกัน ในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ เพื่อรำลีกถึงความสามัคคีของบรรพชนก็น่าจะยังมีความหมายและทรงคุณค่าต่อไป ลูกหลานชองชาวจีนรวมทั้งลูกหลานแต้จิ๋วจะเป็นผู้ตัดสินในอนาคต
วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2553
เทศกาลอันดับที่ 7
เทศาลอันดับที่ เจ็ด คือวันที่ 15เดือนแปดตามปฏิทินทางจันทรคติของจีนชาวแต้จิ๋วเรียกว่า
เทศกาลที่ 6
จะเห็นได้ว่า เรื่องราวการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับ ตามพุทธศาสนามหายานก็มีการถือปฎิบัติกันมาเป็นเวลาเนิ่นนาน
แล้ว เมี่อมาถึงราวราชวงศ์ถัง 唐 จึงมีการรวมเทศกาลจงหยวน 中元节ของเต๋ากับวันประกอบพิธีหวีหลันเผิน 盂兰湓
ของทางพุทธไว้ด้วยกัน เป็นที่มาของประเพณีวันสารทจีน
แล้ว เมี่อมาถึงราวราชวงศ์ถัง 唐 จึงมีการรวมเทศกาลจงหยวน 中元节ของเต๋ากับวันประกอบพิธีหวีหลันเผิน 盂兰湓
ของทางพุทธไว้ด้วยกัน เป็นที่มาของประเพณีวันสารทจีน
เทศกาลอันดับที่ 6
ได้ไปเสพสุขอยู่บนสรรค์ แตว่ามารดากลับเกิดใหม่อยู่ในแดนทุกข์ กลายเป็นผีเปรตที่หิวโหย 饿鬼 มีท้องที่ใหญ่โดแต่มีคอหอยตีบตัน ท่านโมตคัลลานะแม้จะมีอิทธิฤทธิ์มากก็จริง แต่ไม่อาจช่วยมารดาได้ อาหารที่ถวายก็อันตรธานเป็นถ้าธุลีก่อนจะสู่ปากพระมาดาท่านจึงได้กราบทูลถามพระพุทธเจ้าเพื่อหาหนทางช่วยเหลือ พระพุทธเจ้าทรงแนะว่า ลำพังกำลังของท่านพระโมคคัลลานะ ไม่อาจจะแก้ไขได้จำต้องพึ่งกำลังพระสงฆ์เป็นหมู่คณะ ร่ามกันสวดอุทิศส่วนกุศลให้ดวงวิญญานของมารดาท่าน
ในที่สุด ก็สามารถช่วยบรรเทาความทุกข์ยากมาดาท่านได้ ในกาลต่อมาจึงเกิดมีพิธีถวายภัตตาหารแด่สงฆ์ เพื่อให้พระสงฆ์
ร่วมกันสวดมนตร์อุทิศกุศลให้แก่วิญญานที่หิวโหย
เรื่องราวสนทนาธรรม ระหว่างพระโมคคัลลานะและองค์สัมมาสัมพระพุทธเจ้า กล่าวกันว่าได้มีการจารลงเป็นพระสูตรและสมณะ จู่ฝ่าฮู่ 竺法护 พระภิกษุชาวเอเซียกลางที่รู้หลายภาษา มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 231-ค.ศ.308เป็นพระชั้นผู้ใหญ่
高僧สมัยราชวงศ์จิ้น 晋ได้แปลพระสูตรดังกล่าวเป็นภาษาจีน ชื่อ 佛说盂兰盆经
ในที่สุด ก็สามารถช่วยบรรเทาความทุกข์ยากมาดาท่านได้ ในกาลต่อมาจึงเกิดมีพิธีถวายภัตตาหารแด่สงฆ์ เพื่อให้พระสงฆ์
ร่วมกันสวดมนตร์อุทิศกุศลให้แก่วิญญานที่หิวโหย
เรื่องราวสนทนาธรรม ระหว่างพระโมคคัลลานะและองค์สัมมาสัมพระพุทธเจ้า กล่าวกันว่าได้มีการจารลงเป็นพระสูตรและสมณะ จู่ฝ่าฮู่ 竺法护 พระภิกษุชาวเอเซียกลางที่รู้หลายภาษา มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 231-ค.ศ.308เป็นพระชั้นผู้ใหญ่
高僧สมัยราชวงศ์จิ้น 晋ได้แปลพระสูตรดังกล่าวเป็นภาษาจีน ชื่อ 佛说盂兰盆经
วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2553
เทศกาลอันดับที่ 6
เทศกาลอันดับที่ 6 เป็นวันสารทจีน ตรงกับวันที่ 15 เดือน 7 ตามปฏิทินทางจันทรคติของจีน ซึ่งชาวจีนเรียกว่า จงหยวนเจี้ย
中元节 แต่คนแต้จิ๋วนิยมเรียกกันว่า ชิกเหงวะปั่ว 七月半 สารทกลางเดือนเจ็ดนี้มีประวัติมายาวนานทั้งมีเรื่องราวความเป็นมาหลายอย่างแต่ในที่นี้กล่าวอย่างย่อและเข้าใจง่ายที่สุด
ในสมัยโบราณเมื่ออย่างเข้ากลางเดือนเจ็ด ชาวจีนจะเอาพืขผลทางการเกษตรที่เพิ่งเก็บเกี่ยวมาเซ่นไหว้บรรพบุรุษ นับเป็นประเพณีชาวบ้าน ที่ประวัติกันช้านานในเวลาต่อมา คติความเชื่อแบบเต๋าเป็นรูปร่างขึ้นเกิดมีเทศกาลสำคัญขึ้น 3 วัน
คือซ่างหยวนเจี้ย 上元节 จงหยวนเจี้ย 中元节และเซี่ยหยวนเจี้ย 下元节 ซ่างหยวน 上元คือวันที่ 15 เดือนหนึ่ง
ตามปฏิทินทางจันทรคติอย่างจีน คติความเชื่อแบบเต๋า ถือว่า เทพแห่งฟ้า 天官จะอำนวยพรให้ประชามั่งมีศรีสุข 赐福 ถัดมาจงหยวน 中元 คือวันที่15 เดือนเจ็ด เป็นวันที่เทพแห่งปฐพี 地官ขอทาง เต๋า ทำพิธีลดโทษให้แก่วิญญานของผู้ตาย
ที่มีบาป 赦免亡魂 的罪เป็นวัดปลดปล่อยผีจากอบายภูมิให้มารับส่วนบุญกุศลจากผู้มีอันจะกินในโลกมนุษย์สอดคล้อง
กับคติความเชื่อแต่โบราณของชาวจีนว่าเดือนเจ็ดเป็นเดือนแห่งผี 鬼月 ส่วนเซี่ยหยวน 下元 คือวันที่ 15เดือนสิบทาง
เต๋า ถือว่าเทพแห่งน้ำ 水官จะให้โอกาสผู้ที่ทำบาปหรือทำสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้ว ได้สะเดาะห์เพื่อขจัดปัดเป้าโชคร้าย
解除厄运
ชาวจีนทั้งมวด นอกจากนัยถือคติความเชื่อแบบชาวบ้านดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาช้นาน อีกทั้งคติความเชื่อแบบเต๋า ที่ผนวกเอา
เทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลายยุคหลายสมัยเข้าด้วยแล้ว ก็ยังนับถือศาสนาพุทธแต่เป็นศาสนาพุทธสายหายานที่ได้ปรับให้เข้าจริตของชนชาวจีน
พุทธศาสนนามแบบจีน ถือวันที่ 15เดือนเจ็ดตามปฏิทินจันทรคติเป็นวันประกอบพิธี หวีหลันเผิน 盂兰盆 ซึ่งจะมีส่วนของการอุทิศส่วนกุศลให้กับเปรตที่หืวโหยและไม่มีญาติ โดยมีประวัติเล่ากันว่า ในครั้งพุทธกาล พระมหาโมคคัลลานะ อัครสาวกผู้
ผู้เป็นเอตทัคคะทางอิทธิปาฎิหาริย์สัมมาสัมพุธเจ้า ได้รู้ด้วยฌานว่าบิดาของท่านเมื่สื้นแล้ว
中元节 แต่คนแต้จิ๋วนิยมเรียกกันว่า ชิกเหงวะปั่ว 七月半 สารทกลางเดือนเจ็ดนี้มีประวัติมายาวนานทั้งมีเรื่องราวความเป็นมาหลายอย่างแต่ในที่นี้กล่าวอย่างย่อและเข้าใจง่ายที่สุด
ในสมัยโบราณเมื่ออย่างเข้ากลางเดือนเจ็ด ชาวจีนจะเอาพืขผลทางการเกษตรที่เพิ่งเก็บเกี่ยวมาเซ่นไหว้บรรพบุรุษ นับเป็นประเพณีชาวบ้าน ที่ประวัติกันช้านานในเวลาต่อมา คติความเชื่อแบบเต๋าเป็นรูปร่างขึ้นเกิดมีเทศกาลสำคัญขึ้น 3 วัน
คือซ่างหยวนเจี้ย 上元节 จงหยวนเจี้ย 中元节และเซี่ยหยวนเจี้ย 下元节 ซ่างหยวน 上元คือวันที่ 15 เดือนหนึ่ง
ตามปฏิทินทางจันทรคติอย่างจีน คติความเชื่อแบบเต๋า ถือว่า เทพแห่งฟ้า 天官จะอำนวยพรให้ประชามั่งมีศรีสุข 赐福 ถัดมาจงหยวน 中元 คือวันที่15 เดือนเจ็ด เป็นวันที่เทพแห่งปฐพี 地官ขอทาง เต๋า ทำพิธีลดโทษให้แก่วิญญานของผู้ตาย
ที่มีบาป 赦免亡魂 的罪เป็นวัดปลดปล่อยผีจากอบายภูมิให้มารับส่วนบุญกุศลจากผู้มีอันจะกินในโลกมนุษย์สอดคล้อง
กับคติความเชื่อแต่โบราณของชาวจีนว่าเดือนเจ็ดเป็นเดือนแห่งผี 鬼月 ส่วนเซี่ยหยวน 下元 คือวันที่ 15เดือนสิบทาง
เต๋า ถือว่าเทพแห่งน้ำ 水官จะให้โอกาสผู้ที่ทำบาปหรือทำสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้ว ได้สะเดาะห์เพื่อขจัดปัดเป้าโชคร้าย
解除厄运
ชาวจีนทั้งมวด นอกจากนัยถือคติความเชื่อแบบชาวบ้านดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาช้นาน อีกทั้งคติความเชื่อแบบเต๋า ที่ผนวกเอา
เทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลายยุคหลายสมัยเข้าด้วยแล้ว ก็ยังนับถือศาสนาพุทธแต่เป็นศาสนาพุทธสายหายานที่ได้ปรับให้เข้าจริตของชนชาวจีน
พุทธศาสนนามแบบจีน ถือวันที่ 15เดือนเจ็ดตามปฏิทินจันทรคติเป็นวันประกอบพิธี หวีหลันเผิน 盂兰盆 ซึ่งจะมีส่วนของการอุทิศส่วนกุศลให้กับเปรตที่หืวโหยและไม่มีญาติ โดยมีประวัติเล่ากันว่า ในครั้งพุทธกาล พระมหาโมคคัลลานะ อัครสาวกผู้
ผู้เป็นเอตทัคคะทางอิทธิปาฎิหาริย์สัมมาสัมพุธเจ้า ได้รู้ด้วยฌานว่าบิดาของท่านเมื่สื้นแล้ว
วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553
เทศกาล
เทศกาลสำคัญอันดับที่ห้า คือ โหง่วเหวะโจ่ย 五月节 หรือสารทเดือนห้า ซึ่งก็คือเทษกาลไหว้ขนมจ้างสารทวันไหว้ขนมจ้าง วันไหว้ขนมจ้าง ตรงกับ วันที่ 5 เดือน 5 ตามปฎิทินจันทรคติ 五月初五 เป็นวันที่ชาวจืนรำลึกถีงปราชญ์ ซื่อสัตย์
นาม ชวีหยวน หรือแต้จิ๊วว่าคุกง้วง 屈原 ซึ่งคอย้ตือนสตืฉู่อ๋อง 楚王เจ้าผู้ปกครองแคว้นสมัยจ้านกั๋ว 战国แต่ก็ไม่ได้รับ
การตอบสนองด้วยดี เมื่อผิดหวังไม่สามารถช่วยชาติบ้านเมืองได้ จึงไม่ต้องการอย่างไร้สาระตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดลงในลำน้ำ มี่หลัวเจียง 汨罗江 ชาวบ้านทราบเรื่อง้ข้า ก็พากันพายเรือหมายว่าจะไปช่วยท่านชวีหยวน แต่ก็ช่วย
ไม่ทัน ด้วยความห่วงใยปลาในน้ำจะทึ้งจะศพขืงท่าน ชาวบ้านจึงช่วยกันโปรยช้าวลงในแม่น้ำเพื่อเลี้ยงปลาให้อิ่ม
ต่อมาจึงแปลงเป็การห่อข้าวทรงสามเหลี่ยมเรียกว่าจ้งจื่อ 粽字 แต้จิ๋ว เรียก จั่ง หรือ จั๊งกิ๊ว 粽球 ส่วนการพ่ยเรือหรือเพื่อไปช่วยท่านชวียวนก็พัฒนาเป็นการแข่งเรือพายในสำคัญดังกล่าว
สารทเดือนห้า หรือโหง่วเหงวะโจ่ย เป็นการเรียกของชาวแต้จิ๋ว แต่ชาวจีนทั่วไปจะเรียกกันว่า สารทวันตวนอู่ หรือตวนอู่เจี่ย
端五节
นาม ชวีหยวน หรือแต้จิ๊วว่าคุกง้วง 屈原 ซึ่งคอย้ตือนสตืฉู่อ๋อง 楚王เจ้าผู้ปกครองแคว้นสมัยจ้านกั๋ว 战国แต่ก็ไม่ได้รับ
การตอบสนองด้วยดี เมื่อผิดหวังไม่สามารถช่วยชาติบ้านเมืองได้ จึงไม่ต้องการอย่างไร้สาระตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดลงในลำน้ำ มี่หลัวเจียง 汨罗江 ชาวบ้านทราบเรื่อง้ข้า ก็พากันพายเรือหมายว่าจะไปช่วยท่านชวีหยวน แต่ก็ช่วย
ไม่ทัน ด้วยความห่วงใยปลาในน้ำจะทึ้งจะศพขืงท่าน ชาวบ้านจึงช่วยกันโปรยช้าวลงในแม่น้ำเพื่อเลี้ยงปลาให้อิ่ม
ต่อมาจึงแปลงเป็การห่อข้าวทรงสามเหลี่ยมเรียกว่าจ้งจื่อ 粽字 แต้จิ๋ว เรียก จั่ง หรือ จั๊งกิ๊ว 粽球 ส่วนการพ่ยเรือหรือเพื่อไปช่วยท่านชวียวนก็พัฒนาเป็นการแข่งเรือพายในสำคัญดังกล่าว
สารทเดือนห้า หรือโหง่วเหงวะโจ่ย เป็นการเรียกของชาวแต้จิ๋ว แต่ชาวจีนทั่วไปจะเรียกกันว่า สารทวันตวนอู่ หรือตวนอู่เจี่ย
端五节
วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2553
วัน เซ็งเม้ง
清明 谷雨 ช่วงแรกลี่ชุนหรือหลิบชุง 立春 เริ่มต้นวันที่ 4หรือ5 เดือน กุมภาพันธ์ถือเป็นวันเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิช่วง
ที่สอง หวีสุย หรือโห่วจุย 雨水 เริ่มวันที่ 18 หรือ 19 เดือนกุมภาพันธ์ ช่วงที่สาม 惊蛰เริ่มวันที่ 5 หรือ 6เดือน มีนาคม
ช่วงที่ 4 春分เริ่มวันที่ 20หรือ 21เดือนมีนาคมในวันนี้เท่ากับกันว่าฤดูใบไม้ผลิได้ผ่านพ้นไปแล้วครึ่งหนึ่ง
ชุนเฟิน 春分 เป็นวันในฤดูใบไม้ผลิที่โลกหันเส้นศูนย์สูตรเข้าหาดวงอาทิตย์ ตกอยู่ประมาณวันที่ 20-21 มีนาคมตามปฏิทินสากลชองทุกปี มีผลให้กลางวันกลางคืนในวันดังกล่าวมีช่วงเวลาใกล้เคียงกัน (กลางวันยาวเท่ากลางคืน) โดย 分
มีตวามหมายว่า 平分 หรือแบ่งเท่ากัน
ถัดจาก ชุนเฟิน ก็เข้าสู่ช่วง ชิงหมิง หรือเซ็งเม้ง 清明 เริ่ม วันที่ 4หรือ 5 เดือน เมษายน แต่ชื่อ เซ็งเม้ง นอกจากเป็นชื่อเรียก ฤดูกาล โจ๊ยขี่ 节气 แล้ว ยังถือเป็นเทศกาล โจ๊ยยิก 节日 อีกด้วย โดยทั่วไปชาวจีนทั่วไปไม่เพียงแต่ชาวแต้จิ่ว
พากันไปกราบไหว้บรรพบุรุษ ณ สุสานหรือที่ฝั่งศพที่ต้องอธิบายยึดยาวก็เพราะบางคนยังสงสัยว่าทำไมวันเซ็งเม้งจึงอยู่ในราววันที่4หรือ5 เดือนเมษายน ตามปฎิทินสากลทุกปี ทั้งยังมีวันเทศกาลอื่นๆของจีน ไม่ตรงกันวันทางปฎิทินสากลทั้งยังมีผู้มีความรู้บางคนแต่ติดนิสัย ขี้เล่น แกล้งพูดความจิงแต่ครึ่งเดียวว่า เซ็งเม้ง เป็นฤดูแห่งการท่องเที่ยวความสำราญไม่เกี่ยวกับการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ
ภาษาจีนกลาง เรียกไปไหว้บรรพบุรุษที่สุสานว่าไป ส่าวมู่ 扫墓 หมายถึงไปเก็บกวาดทำความสะอาดที่ฝังศพของบรรพบุรุษ
เพื่อทำการเซ่นไหว้ แต่สำหรับตนแต่จิ๋ว มักในช่วงเซ็งเม้ง เรียกว่า กุ๊ยชุงจั้ว 挂春纸 แต่ถ้าบรรพบุรุษเสียไปหลายปี
(มากกว่า 3 ปี)ยังสามารถไป กุ๊ยตังจิ้ว 挂冬纸ก็ได้ คือในช่วงเดือน ธันวาคม ช่วงใกล้เคียงวันตังโจ่ย 冬节
ที่สอง หวีสุย หรือโห่วจุย 雨水 เริ่มวันที่ 18 หรือ 19 เดือนกุมภาพันธ์ ช่วงที่สาม 惊蛰เริ่มวันที่ 5 หรือ 6เดือน มีนาคม
ช่วงที่ 4 春分เริ่มวันที่ 20หรือ 21เดือนมีนาคมในวันนี้เท่ากับกันว่าฤดูใบไม้ผลิได้ผ่านพ้นไปแล้วครึ่งหนึ่ง
ชุนเฟิน 春分 เป็นวันในฤดูใบไม้ผลิที่โลกหันเส้นศูนย์สูตรเข้าหาดวงอาทิตย์ ตกอยู่ประมาณวันที่ 20-21 มีนาคมตามปฏิทินสากลชองทุกปี มีผลให้กลางวันกลางคืนในวันดังกล่าวมีช่วงเวลาใกล้เคียงกัน (กลางวันยาวเท่ากลางคืน) โดย 分
มีตวามหมายว่า 平分 หรือแบ่งเท่ากัน
ถัดจาก ชุนเฟิน ก็เข้าสู่ช่วง ชิงหมิง หรือเซ็งเม้ง 清明 เริ่ม วันที่ 4หรือ 5 เดือน เมษายน แต่ชื่อ เซ็งเม้ง นอกจากเป็นชื่อเรียก ฤดูกาล โจ๊ยขี่ 节气 แล้ว ยังถือเป็นเทศกาล โจ๊ยยิก 节日 อีกด้วย โดยทั่วไปชาวจีนทั่วไปไม่เพียงแต่ชาวแต้จิ่ว
พากันไปกราบไหว้บรรพบุรุษ ณ สุสานหรือที่ฝั่งศพที่ต้องอธิบายยึดยาวก็เพราะบางคนยังสงสัยว่าทำไมวันเซ็งเม้งจึงอยู่ในราววันที่4หรือ5 เดือนเมษายน ตามปฎิทินสากลทุกปี ทั้งยังมีวันเทศกาลอื่นๆของจีน ไม่ตรงกันวันทางปฎิทินสากลทั้งยังมีผู้มีความรู้บางคนแต่ติดนิสัย ขี้เล่น แกล้งพูดความจิงแต่ครึ่งเดียวว่า เซ็งเม้ง เป็นฤดูแห่งการท่องเที่ยวความสำราญไม่เกี่ยวกับการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ
ภาษาจีนกลาง เรียกไปไหว้บรรพบุรุษที่สุสานว่าไป ส่าวมู่ 扫墓 หมายถึงไปเก็บกวาดทำความสะอาดที่ฝังศพของบรรพบุรุษ
เพื่อทำการเซ่นไหว้ แต่สำหรับตนแต่จิ๋ว มักในช่วงเซ็งเม้ง เรียกว่า กุ๊ยชุงจั้ว 挂春纸 แต่ถ้าบรรพบุรุษเสียไปหลายปี
(มากกว่า 3 ปี)ยังสามารถไป กุ๊ยตังจิ้ว 挂冬纸ก็ได้ คือในช่วงเดือน ธันวาคม ช่วงใกล้เคียงวันตังโจ่ย 冬节
วันเซ็งเม้ง
การแบ่งฤดูกาลเป็น 4ฤดูต่อปีจึงเท่ากัยฤดูหนึ่งเวลายาวประมาณ3เดือนในแต่ละเดือนประเทศจีน2ปักษ์หรือสองช่วงเวลา แต่ละช่วงมีชื่อเรียกต่างกันออกไปแต่ก็ถือเป็นชื่อเรียกฤดูกาล 节气 แยกย่อยจาก 立春 雨水 惊蛰 春分
วัน เซ็งเม้ง
คล้ายปฏิทินทางจันทรคติอย่างไทย ที่บางปีมีเดือนแปดสองหน แต่ของทางจีน เดือนที่ 13 อาจเป็นเดือนไหนก็ได้ ไม่จำเพาะต้องเป็นเดือนแปด
ในเรื่องของฤดูกาล ประเทศจีนแบ่งเวลาในหนึ่งปีออกเป็น 4 ฤดู คือ ฤดูใบไม้ผลิ 春 ฤดูร้อน 夏 ฤดูใบไม้ร่วง 秋 และ
ฤดูหนาว 冬 โดยการถือการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ ฉะนั้น การนับช่วงเวลาการเปลี่ยนฤดูกาลหรือ โจ๊ยขี่ 节气
จึงเป็นแบบสุริยะคติ 阳历 ซึ่งสอดคล้องกับปฏิทินสากล
ในเรื่องของฤดูกาล ประเทศจีนแบ่งเวลาในหนึ่งปีออกเป็น 4 ฤดู คือ ฤดูใบไม้ผลิ 春 ฤดูร้อน 夏 ฤดูใบไม้ร่วง 秋 และ
ฤดูหนาว 冬 โดยการถือการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ ฉะนั้น การนับช่วงเวลาการเปลี่ยนฤดูกาลหรือ โจ๊ยขี่ 节气
จึงเป็นแบบสุริยะคติ 阳历 ซึ่งสอดคล้องกับปฏิทินสากล
วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553
วัน เซ้งเม้ง
วันแห่งความรักที่แท้จริงของชาวจีนเป็นวันที่ 7 เดือน 7 ตามปฎิทินจันทรคติของจีน 七 月初七 โดยยึดถือตำนานรักของหนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้า สำเนียงแต้จิ๋วว่า หงูนึ้งจิ๊กนึ่ง 牛郎 织 女 แต่ไม่รวมเป็นหนึ่งในแปดของเทศกาลสำคัญของจีน
เทสกาลสำคัญอันดับที่สี่ คือ เทศกาล เซ็งเม้ง 清明 ซึ่งเป็นเทศกาลที่ชนชาติจีนไปเซ่นไหว้ยรรพชนที่สุสาน โดยสามารถ
สืบประวัติย้อนหลังไปนานกว่าสองพันปี
เซ็งเม้ง เป็นฤดูกาลและเทศกาล สำเนียงแต้จิ๋วใช้คำว่า โจ๊ยขี่ 节气 และ โจ๊ยยิก 节日 ที่ว่าเป็นฤดูกาลนั้น ต้องเข้าใจ
ก่อนว่า ปฎิทินของจีนแต่โบราณ แบบจันทรคติ 阳历 หรือ 衣历 ถือการโคจรของดวงจันทร์เป็นตัวกำหนดพอถึงวัน จับโหงว 十五 ของแต่เดือน พระจันทร์ก็เกือบเต็มดวงคล้ายวันขึ้น 15 ค่ำของไทยแต่ปฎิทินจันทรคติของจีน จะสะสมจนมี 13 เดือน ในทุก 3 ปีชาวแต้จิ๋ว เรียกว่า ซานี้เจ็กหยุ่ง 三年一 闰
เทสกาลสำคัญอันดับที่สี่ คือ เทศกาล เซ็งเม้ง 清明 ซึ่งเป็นเทศกาลที่ชนชาติจีนไปเซ่นไหว้ยรรพชนที่สุสาน โดยสามารถ
สืบประวัติย้อนหลังไปนานกว่าสองพันปี
เซ็งเม้ง เป็นฤดูกาลและเทศกาล สำเนียงแต้จิ๋วใช้คำว่า โจ๊ยขี่ 节气 และ โจ๊ยยิก 节日 ที่ว่าเป็นฤดูกาลนั้น ต้องเข้าใจ
ก่อนว่า ปฎิทินของจีนแต่โบราณ แบบจันทรคติ 阳历 หรือ 衣历 ถือการโคจรของดวงจันทร์เป็นตัวกำหนดพอถึงวัน จับโหงว 十五 ของแต่เดือน พระจันทร์ก็เกือบเต็มดวงคล้ายวันขึ้น 15 ค่ำของไทยแต่ปฎิทินจันทรคติของจีน จะสะสมจนมี 13 เดือน ในทุก 3 ปีชาวแต้จิ๋ว เรียกว่า ซานี้เจ็กหยุ่ง 三年一 闰
วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2553
วันเทศกาละ
朝洲府 กับคุณชายแห่งจั่วจิวเซี้ย 泉州成 ในสมัยราชวงศ์หมิง 明 แต่ชาวแต้จิ่วส่วนใหญ่ รู้จักตำนานเดียวกันในการ
แสดงงิ้วเรื่อง ตั่งซาโหง่วเนี้ย 陈三五娘
ยามค่ำของ หง่วงเซียว 无宵夜 เป็นช่วงเวลาแห่งความโรแมนติก เป็นค่ำคืนที่มีสีสันและความคึกคัก จนชาวแต้จิ่วหาก
พยาพยามใดที่ค้าขายดีมีความคึกคักเกินความคาดหมายก็จะพูดอย่างอุปมาอุปไมยว่า เหล่ายัวะก๊วยจับโหง่วแม้
闹热过十五夜 ชาวจีนสมัยใหม่บางคนยังถือวันนี้เป็นวันแห่งความรัก 情人节 เพราะหากปีใดวันชิวอิกตรงกับวันที่ 31
มกราคม วันหง่วงเซียวก็จะตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์พอดีแต่แม้จะไม่ตรงกันวันวาเล็นไทน์ ของชาติตะวันตกก็อยู่ก่อนหลังใกล้เคียง หง่วงเซ๊ยวพอดี
แสดงงิ้วเรื่อง ตั่งซาโหง่วเนี้ย 陈三五娘
ยามค่ำของ หง่วงเซียว 无宵夜 เป็นช่วงเวลาแห่งความโรแมนติก เป็นค่ำคืนที่มีสีสันและความคึกคัก จนชาวแต้จิ่วหาก
พยาพยามใดที่ค้าขายดีมีความคึกคักเกินความคาดหมายก็จะพูดอย่างอุปมาอุปไมยว่า เหล่ายัวะก๊วยจับโหง่วแม้
闹热过十五夜 ชาวจีนสมัยใหม่บางคนยังถือวันนี้เป็นวันแห่งความรัก 情人节 เพราะหากปีใดวันชิวอิกตรงกับวันที่ 31
มกราคม วันหง่วงเซียวก็จะตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์พอดีแต่แม้จะไม่ตรงกันวันวาเล็นไทน์ ของชาติตะวันตกก็อยู่ก่อนหลังใกล้เคียง หง่วงเซ๊ยวพอดี
วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553
วันตรุษจีน
เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมยินดี แต่คนไทยเชื้อสายจีนในปัจจุบัน ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีการศึกษาดี ก็ควรทำความเข้าใจบ้าง อะไรควรรักษาไว้และอะไรควรปฎิเสธหรือตัดทอนออกไป
ถัดจากวันชิวอิก 初一ไป14วันก็เป็นวันที่สิบห้าของเดือนแรก ชาวแต้จิ๋วเรียกว่า เจียเหงวะโหงวจับโหงว 正 月 十五
หรือ หง่วงเซียว 无宵 ถือว่าเป็น โจ่ย 节 สำคัญแรกหลังตรุษจีน แต่เป็นเทศกาลอันดับสามที่นึ้ เนื่องจากยังอยู่ในช่วงต่อเนื่องจากเทศกาลขึนปีใหม่หรือตรุษจีนจึงเป็นช่วงเวลาแห่งความสนุกสนานโดยเฉพาะสมัยโบราณยังไม่มีไฟฟ้าใช้จึงมีการจุดโคมไฟสว่างไสวหนุ่มสาวก็พากันออกมาเที่ยวเล่นชมแสงสีจากโคมไฟประดับ ฮวยเต็ง 花灯 แต่ผลที่แท้อาจเป็นอย่างอื่น
โดยวันนี้แม้แต่พ่อแม่ของฝ่ายหญิงก็หลับตาข้างหนึ่ง อนุญาตให้ลูกสาวไปเที่ยวเล่นตอนค่ำได้จึงเกิดตำนานรักระหว่างสาวงาม
แห่งเตี่ยจิวฮู่
ถัดจากวันชิวอิก 初一ไป14วันก็เป็นวันที่สิบห้าของเดือนแรก ชาวแต้จิ๋วเรียกว่า เจียเหงวะโหงวจับโหงว 正 月 十五
หรือ หง่วงเซียว 无宵 ถือว่าเป็น โจ่ย 节 สำคัญแรกหลังตรุษจีน แต่เป็นเทศกาลอันดับสามที่นึ้ เนื่องจากยังอยู่ในช่วงต่อเนื่องจากเทศกาลขึนปีใหม่หรือตรุษจีนจึงเป็นช่วงเวลาแห่งความสนุกสนานโดยเฉพาะสมัยโบราณยังไม่มีไฟฟ้าใช้จึงมีการจุดโคมไฟสว่างไสวหนุ่มสาวก็พากันออกมาเที่ยวเล่นชมแสงสีจากโคมไฟประดับ ฮวยเต็ง 花灯 แต่ผลที่แท้อาจเป็นอย่างอื่น
โดยวันนี้แม้แต่พ่อแม่ของฝ่ายหญิงก็หลับตาข้างหนึ่ง อนุญาตให้ลูกสาวไปเที่ยวเล่นตอนค่ำได้จึงเกิดตำนานรักระหว่างสาวงาม
แห่งเตี่ยจิวฮู่
วันอังคารที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2553
วัน ตรุษจีน
กิจกรรมในช่วงเทศกาลตรุษจีน ที่สำคัญก็มีการไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอศีลขอพรเพื่อให้อยู่เย็นเป็นสุขสืบทอดประเพณีที่ดีงามเหล่านี้
วันตรุษจึน
พออย่างเข้าปีใหม่ ก็กลายเป็นเทศกาลอันดับสอง ชาวแต้จิ๋วเรียกวันแรกของปีใหม่ว่า ชิวอิก ในวันแรกของปีใหม่ชาวจีนทุกคนจะคิดดี พูดดี ปฏิบัติดีเริ่มด้วยมื้อเช้า (อาหารเช้า)จะเป็นอาหารเช้า เพราะเชื่อว่าการทานเจเป็นส่วนสำคัญในการไม่เบียดเบียนสิ่งมีชีวิตด้วยกันนอกจากนึ้ ก็จะพูดแต่สิ่งที่ดี สิ่งที่เป็นมงคล แม้แต่คนในบ้านเดียวกัน เมื่อพบหน้ากันในเช้าวันนี้ก็จะอวยพรซึ่งกันและกัน งดเว้นการต่อรอง ต่อว่าต่อขาน หรือการพูดจาซึ่งจะนำไปสู่การวิวาทเลยต้องถามลูกหลานคนแต้จิ่ว การคิดดี
พูดดีและปฏิบัติดี ควรจะทำเฉพาะช่วงตรุษจีนตามประเพณีนิยม หรือควรจะเป็นคุณสมบัติติดตัวของชนรุ่นใหม่ทุกคน
ช่วงเทศกาลตรุษจีน หากจะไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ ก็ควรจะนำส้มไปคารวะน้อยหนึ่งคู่ (สองลูก) บ้างก็ยึดถือสองคู่(สี่ลูก)
ห้ามใช้เลขคี่เด็ดขาด เพราะชาวจีน (รวมจีนแต้จิ่ว) ถือจำนวนคู่เป็นสิริมงคล เรียกกันติดปาก เส่งซังเส่งตุ่ย 成又又成对
เพราะทั้ง ซัง และตุ่ย แปลว่า คู่เหมือนกัน
พูดดีและปฏิบัติดี ควรจะทำเฉพาะช่วงตรุษจีนตามประเพณีนิยม หรือควรจะเป็นคุณสมบัติติดตัวของชนรุ่นใหม่ทุกคน
ช่วงเทศกาลตรุษจีน หากจะไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ ก็ควรจะนำส้มไปคารวะน้อยหนึ่งคู่ (สองลูก) บ้างก็ยึดถือสองคู่(สี่ลูก)
ห้ามใช้เลขคี่เด็ดขาด เพราะชาวจีน (รวมจีนแต้จิ่ว) ถือจำนวนคู่เป็นสิริมงคล เรียกกันติดปาก เส่งซังเส่งตุ่ย 成又又成对
เพราะทั้ง ซัง และตุ่ย แปลว่า คู่เหมือนกัน
วันตรุษจีน
พออย่างเข้าสู่ปีใหม่ ก็กลายเป็นเทศกาลอันดับสอง ชาวแต๋จิ๋วเรียกวันแรกของปีใหม่ว่า ชิวอิกในวันแรกของปีใหม่ชาวจีนทุกคนจะคิดดี พูดดี ปฏิบัตืดีเริ่มด้วยมื้อเช้า (อาหารเช้า)จะเป็นอาหารเจเพราะเชื่อว่าทานเจเป็นส่วนสำคัญในการไม่เบียดเบียน
สิ่งมีชีวิตด้วยกัน นอกจากนี้ก็พูดแต่สิ่งที่ดีสิ่งที่เป็นมงคล แม้แต่คนในบ้านเดียวกัน เมื่อพบหน้ากันในเช้าวันนี้ก็จะอวยพรซึ่งกัน
และกัน งดเว้นการต่อรอง ต่อว่าต่อขาน หรือการพูดจาซึ่งจะนำไปสู่กสรวิวาท เลยต้องย้อนถามลูกหลานคนแต้จิ่ว การคิดดี
สิ่งมีชีวิตด้วยกัน นอกจากนี้ก็พูดแต่สิ่งที่ดีสิ่งที่เป็นมงคล แม้แต่คนในบ้านเดียวกัน เมื่อพบหน้ากันในเช้าวันนี้ก็จะอวยพรซึ่งกัน
และกัน งดเว้นการต่อรอง ต่อว่าต่อขาน หรือการพูดจาซึ่งจะนำไปสู่กสรวิวาท เลยต้องย้อนถามลูกหลานคนแต้จิ่ว การคิดดี
วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553
วันตรุษจีน
แต่ประเพณึการให้เงินใส่ซองแดงในวันส่งท้ายปีเก่า ชาวแต่จิ๋ว เรียกว่า แต๊ะเอีย โดยคำว่า แต๊ะมากฐานเสียงของคำว่า แตะ แปลว่า ทับ ส่วน เอีย หรือ อี ออ มากจากคำว่า โต๋วเอีย 肚腰 ภาษาไทยว่า เอี๊ยม หรือ เต๋าเอี๊ยม แปลว่าแผ่นผ้าสำหรับคาดหน้าอกเด็กๆ ฉะนั้น แต๊ะเอีย จึงหมายถึงเงินที่วางทับบนเอี๊ยมของเด็กๆ เสมือน หนึ่งการให้ศีลให้พรจากผู้ใหญ่ หากเป็นจีนแบบสากล(จีนกลางจะเรียกว่า เอียซุ่นเฉียน 压岁钱 โดยคำว่า เอีย หรือ อา 压 แต้จิ๋วอ่านว่า เอียบมี ความหมายว่า
กดหรือทับเช่นกันเพียงแต่จีนแต้จิ๋วไม่ใช้คำนี้ในธรรมเนียมการให้ซองแดง แต่ไปใช้คำว่า แตะ ซึ่งเป็นภาษาพูด โดยในพจนานุกรมแต้จิ๋วของอาจารย์ หลินหลุน 林伦伦 ยังไม่ได้บัญญัติศัพท์บ้าน
วันส่งท้ายปีเก่าของจีนเรียกเป็นสากลว่า ฉูซี 除夕 ถ้าเป็นสำเนียงแต้จิ๋ว ก็ต้องอ่านว่า ตื่อเส็ก แต่จีนแต้จิ้วในเมืองไทยไม่เห็นมีใครเรียกเช่นนั้นหากแต่เรียก หยิเก้า หรือ ซาจั๊บทั้งยังเรียกกันติดปากว่า ก๊วยนี้ 过年 เสียส่วนใหญ่ เพราะ ก๊วยนี แปลตรงๆว่า ข้ามปีจึงสอดคล้องกับความหมายการก้าวข้ามปีส่วนรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันขึ้นปีใหม่จริงๆมักเรียกว่า ซิวอิก 初一
หมายถึง เจียเหวะชิวอิก正月初一 หรือวันที่หนึ่งเดือนอ้ายของชาวจีน
ช่วงต่อระหว่างนาทีสุดท้ายของปีเก่ากับนาทีของปีใหม่จีน ชาวจีนแต่เดิมไม่มีประเพณีการนับถอยหลังหากแต่พิธีการไหว้
ไฉ่สิ่งเอีย 财神爷 หรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภ โดยผู้จะไหว้ต้องติดตาม ข่าวจากผู้รู้ ว่าแต่ละปี เทพเจ้าจะเสด็จมาทางทิศไหนและเวลาอะไร คนจีนแบ่งเวลา 24ชั่วโมงของแต่ละวันเป็น 12 ชั่วยาม หรือ 12 ฤกษ์ ยามแต่คนจีนชอบอยู่หน้าไม่ชอบ
อยู่หลัง ฉะนั้น ฤกษ์แรกของชาวจีนจึงไม่ใช่หลังเที่ยงคืนถึงตีสองจึงเรื่มตั้งแต่วินาทีแรกหลัง 23.00 น.ของวันท้ายปีเก่าไป
จนถึง 1.00 น.ของวันใหม่ ส่วนฤกษ์ยามที่สองจึงเริ่มตั้งแต่วินาทีแรกหลังตีหนึ่งจนกระทั้งถึงตีสาม หรือ 3.00 น. เทพเจ้าแห่งโชคลาภท่านไม่โอ้เอ้ท่านมักเสด็จมาฤกษ์ที่หนึ่งหรือไม่ก็ฤกษ์ที่สองของทุกปี
กดหรือทับเช่นกันเพียงแต่จีนแต้จิ๋วไม่ใช้คำนี้ในธรรมเนียมการให้ซองแดง แต่ไปใช้คำว่า แตะ ซึ่งเป็นภาษาพูด โดยในพจนานุกรมแต้จิ๋วของอาจารย์ หลินหลุน 林伦伦 ยังไม่ได้บัญญัติศัพท์บ้าน
วันส่งท้ายปีเก่าของจีนเรียกเป็นสากลว่า ฉูซี 除夕 ถ้าเป็นสำเนียงแต้จิ๋ว ก็ต้องอ่านว่า ตื่อเส็ก แต่จีนแต้จิ้วในเมืองไทยไม่เห็นมีใครเรียกเช่นนั้นหากแต่เรียก หยิเก้า หรือ ซาจั๊บทั้งยังเรียกกันติดปากว่า ก๊วยนี้ 过年 เสียส่วนใหญ่ เพราะ ก๊วยนี แปลตรงๆว่า ข้ามปีจึงสอดคล้องกับความหมายการก้าวข้ามปีส่วนรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันขึ้นปีใหม่จริงๆมักเรียกว่า ซิวอิก 初一
หมายถึง เจียเหวะชิวอิก正月初一 หรือวันที่หนึ่งเดือนอ้ายของชาวจีน
ช่วงต่อระหว่างนาทีสุดท้ายของปีเก่ากับนาทีของปีใหม่จีน ชาวจีนแต่เดิมไม่มีประเพณีการนับถอยหลังหากแต่พิธีการไหว้
ไฉ่สิ่งเอีย 财神爷 หรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภ โดยผู้จะไหว้ต้องติดตาม ข่าวจากผู้รู้ ว่าแต่ละปี เทพเจ้าจะเสด็จมาทางทิศไหนและเวลาอะไร คนจีนแบ่งเวลา 24ชั่วโมงของแต่ละวันเป็น 12 ชั่วยาม หรือ 12 ฤกษ์ ยามแต่คนจีนชอบอยู่หน้าไม่ชอบ
อยู่หลัง ฉะนั้น ฤกษ์แรกของชาวจีนจึงไม่ใช่หลังเที่ยงคืนถึงตีสองจึงเรื่มตั้งแต่วินาทีแรกหลัง 23.00 น.ของวันท้ายปีเก่าไป
จนถึง 1.00 น.ของวันใหม่ ส่วนฤกษ์ยามที่สองจึงเริ่มตั้งแต่วินาทีแรกหลังตีหนึ่งจนกระทั้งถึงตีสาม หรือ 3.00 น. เทพเจ้าแห่งโชคลาภท่านไม่โอ้เอ้ท่านมักเสด็จมาฤกษ์ที่หนึ่งหรือไม่ก็ฤกษ์ที่สองของทุกปี
วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2553
วันตรุษสารทสำคัญ 湖人八时节
วันตรุษสารท เป็นคำที่ชาวจีนยืมคำไทยไปใช้แทนชื่อ เรียกเทศกาลสำคัญๆ ในแต่ละปี โดยจีนแต้จิ่ว มีคำว่า สี่โจ่ย
时节 ก๊วยหนี่ก๊วยโจ่ย 过年过节หรือจ๊อหนี่จ๊อโจ่ย 做年做节 คำว่า 节 ในสำเนียงแต้จิ่วสะกดเป็นภาษาไทยลำบากมาก ฉะนั้น ผูสนใจศึกษาควนขอให้ผู้รู้จีนแต้จิ๋วพูดออกเสียงให้ฟัง สังเกตว่าคำๆนี้เป็นคำตายใช้เสียงสั้นคือออกเสียงคล้ายๆกับ โจ่ย แต่เสียงสะดุดลงอย่างเร็ว แต่เขียน โจ่ยะ จะดูไม่เหมือนภาษาไทย
คนไทยขึ้นปีใหม่เรียกว่า ตรุษไทยชาวจีนแต้จิ๋วเลยยืมว่าตรุษมาใช้ของชาวจีนก็เรียก ตรุษจีนแต่หากเราไปค้นในพจนานุกรมฯ
คำว่า ตรุษจีนกลายเป็นชื่อ ดอกไม้เสียนี่ คำว่า สารท ก็เช่นเดียวกัน ชาวจีน ยืมคำไทยมาใช้แทน คำว่า โจ่ย 节 ซึ่งสะกดออกเสียงเป็น ภาษาไทยลำบากมากเลยมีการเรียก เทศกาล ๙กแหงวะปั่ว ว่า สารทจีน หรือวันไหว้ขนมจ้าง โหง่วเหงวะโจ่ย
ว่า สารท วันไหว้ขนมจ้าง ฉะนั้น เวลาคนไทยเชื้อสายจีนพูดถึงตรุษสารทจึงอาจมีความหมายไม่ตรงกับภาษาไทยที่แท้จริง
วันเทศกาลสำคัญๆของชาวจีน โดยเฉพาะชาวจีนในแต๋จื๋วในเมืองไทยส่สนใหญ่จะยึดถือเซ่นไหว้วันตรุษสารทสำคัญอยู่
8 เทศกาล ที่ต้องระบุว่าเมืองไทยเพราะหากเป็นชาวแต๋จ๋วในสิงคโปร์หนือมาเลเซีย ก็อาจมีรายละเอียดแตกต่างกันไปหรือแม้แต่ในเมืองไทยเองก็อาจมีสารทเล็กสารทน้อยทึ่คนจีนบางเหล่ายึดปฏิบัติไม่ได้ยึดเหมือนกันที้งหมด
ถึงตรงนี้บางคนอาจเดากันแล้วว่าเทศกาลต้องเป็นเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน ที่ชาวแต้จิ๋วเรียกว่า ก๊วยซิงนี้ 過 新年
แต่คนไทยและคนไทยเชื้อสายจีนส่วนหนึ่งก็อาจเรียกชื่อคุ้นเคยว่า ตรุษจีน
ตรุษจีนเป็นเทศกาลสำคัญอันดับต้นก็ไม่ผิดแต่ทีจะต้องพูดถึงอันดับแรกกลับต้องเป็นเทศกาลวันสิ้นปีและเนื่องจากปฏิทินทางจันทรคติอย่างจีน เดือนสิบสองนั้นอาจมียี่สิบเก้ววันหรือสามสิบวันก็ได้ ช่วงส่งท้ายปีเก่าจีนจึงอาจเรียกว่า หยิแม้ หรือจับแม้
廿九夜,三十夜 เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขและชื่นมื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาเด็กๆเพราะนอกจากจะได้ตามผู้ใหญ๋
ไหว้เจ้าบรรพบุรุษเป็นที่สนุกสนานได้กินอาหารและขนมอร่อยแล้วฃ่วงเย็นหรือหัวค่ำก็ช่วงเวลาระทึกใจ เพราะได้รับเงินใส่ซองแดงที่เรียกันว่าอั่งเปา
คำว่า อั่งเปา 红包หมายถึงตัวซองแดงที่ใส่เงิน
时节 ก๊วยหนี่ก๊วยโจ่ย 过年过节หรือจ๊อหนี่จ๊อโจ่ย 做年做节 คำว่า 节 ในสำเนียงแต้จิ่วสะกดเป็นภาษาไทยลำบากมาก ฉะนั้น ผูสนใจศึกษาควนขอให้ผู้รู้จีนแต้จิ๋วพูดออกเสียงให้ฟัง สังเกตว่าคำๆนี้เป็นคำตายใช้เสียงสั้นคือออกเสียงคล้ายๆกับ โจ่ย แต่เสียงสะดุดลงอย่างเร็ว แต่เขียน โจ่ยะ จะดูไม่เหมือนภาษาไทย
คนไทยขึ้นปีใหม่เรียกว่า ตรุษไทยชาวจีนแต้จิ๋วเลยยืมว่าตรุษมาใช้ของชาวจีนก็เรียก ตรุษจีนแต่หากเราไปค้นในพจนานุกรมฯ
คำว่า ตรุษจีนกลายเป็นชื่อ ดอกไม้เสียนี่ คำว่า สารท ก็เช่นเดียวกัน ชาวจีน ยืมคำไทยมาใช้แทน คำว่า โจ่ย 节 ซึ่งสะกดออกเสียงเป็น ภาษาไทยลำบากมากเลยมีการเรียก เทศกาล ๙กแหงวะปั่ว ว่า สารทจีน หรือวันไหว้ขนมจ้าง โหง่วเหงวะโจ่ย
ว่า สารท วันไหว้ขนมจ้าง ฉะนั้น เวลาคนไทยเชื้อสายจีนพูดถึงตรุษสารทจึงอาจมีความหมายไม่ตรงกับภาษาไทยที่แท้จริง
วันเทศกาลสำคัญๆของชาวจีน โดยเฉพาะชาวจีนในแต๋จื๋วในเมืองไทยส่สนใหญ่จะยึดถือเซ่นไหว้วันตรุษสารทสำคัญอยู่
8 เทศกาล ที่ต้องระบุว่าเมืองไทยเพราะหากเป็นชาวแต๋จ๋วในสิงคโปร์หนือมาเลเซีย ก็อาจมีรายละเอียดแตกต่างกันไปหรือแม้แต่ในเมืองไทยเองก็อาจมีสารทเล็กสารทน้อยทึ่คนจีนบางเหล่ายึดปฏิบัติไม่ได้ยึดเหมือนกันที้งหมด
ถึงตรงนี้บางคนอาจเดากันแล้วว่าเทศกาลต้องเป็นเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน ที่ชาวแต้จิ๋วเรียกว่า ก๊วยซิงนี้ 過 新年
แต่คนไทยและคนไทยเชื้อสายจีนส่วนหนึ่งก็อาจเรียกชื่อคุ้นเคยว่า ตรุษจีน
ตรุษจีนเป็นเทศกาลสำคัญอันดับต้นก็ไม่ผิดแต่ทีจะต้องพูดถึงอันดับแรกกลับต้องเป็นเทศกาลวันสิ้นปีและเนื่องจากปฏิทินทางจันทรคติอย่างจีน เดือนสิบสองนั้นอาจมียี่สิบเก้ววันหรือสามสิบวันก็ได้ ช่วงส่งท้ายปีเก่าจีนจึงอาจเรียกว่า หยิแม้ หรือจับแม้
廿九夜,三十夜 เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขและชื่นมื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาเด็กๆเพราะนอกจากจะได้ตามผู้ใหญ๋
ไหว้เจ้าบรรพบุรุษเป็นที่สนุกสนานได้กินอาหารและขนมอร่อยแล้วฃ่วงเย็นหรือหัวค่ำก็ช่วงเวลาระทึกใจ เพราะได้รับเงินใส่ซองแดงที่เรียกันว่าอั่งเปา
คำว่า อั่งเปา 红包หมายถึงตัวซองแดงที่ใส่เงิน
วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553
meng
百 尺 竿 头 更 进 一 步
bai chi gan tou geng jin yi bu
ถึงพยามจนถึงที่สุดแล้วก็ต้องพยามต่อไปอีก
เปรียบเปรยว่าถึงแม้จะพยามจนกระทั่งได้รับผลสำเร็จเป็นอย่างดีแล้วแต่ก็ไม่ควรยุติความพอใจไว้เพียงเท่านั้นยังมุ่งหน้าบากบั่นสู้ต่อไป
bai chi gan tou geng jin yi bu
ถึงพยามจนถึงที่สุดแล้วก็ต้องพยามต่อไปอีก
เปรียบเปรยว่าถึงแม้จะพยามจนกระทั่งได้รับผลสำเร็จเป็นอย่างดีแล้วแต่ก็ไม่ควรยุติความพอใจไว้เพียงเท่านั้นยังมุ่งหน้าบากบั่นสู้ต่อไป